หนังสือเล่มนี้เขียนโดยนักเขียนเกาหลีที่มีอาชีพเก็บของให้ผู้เสียชีวิต หรือเป็นการส่งผู้ตายไปสวรรค์ โดยภาพรวมอ่านแล้วก็จะได้รู้จักอาชีพนี้และยังเป็นมุมมองของผู้เขียนต่อหลากหลายรูปแบบการตายที่เค้าได้พบเห็น
.
การทำงานของพวกเค้าจะมีตั้งแต่เก็บของของผู้ล่วงลับส่งคืนให้ลูกหลาน ไปจนถึงการทำความสะอาดที่เกิดเหตุฆาตกรรม ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์และสารเคมีเฉพาะเพื่อกำจัดคราบและกลิ่น
.
อาชีพนี้ยังเป็นที่รังเกียจของบางคนในสังคม เพราะทำงานกับคนตาย บางครั้งก็โดนโยนเกลือใส่ไล่ความโชคร้าย บางครั้งร้านอาหารก็ไม่นอมให้เข้าไปทานอาหารถ้าใส่เครื่องแบบบริษัทไป
.
การตายที่ผู้เขียนพบมีหลากหลายรูปแบบทั้งผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวแล้วป่วยหรือเสียชีวิตโดยที่ไม่มีใครรู้อยู่หลายวันจนมีกลิ่นถึงจะมีคนรู้ การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม ในทุกเคสที่ผู้เขียนเล่า เค้าก็จะ reflect ความรู้สึกและมุมมองของเค้าไปด้วย
.
มี 2-3 เคสที่อยากนำมาเล่า เพราะคิดว่า relate กับคนเป็นพ่อแม่
.
เคสแรกคือทันตแพทย์เกียรตินิยมอันดับ 1 จบจากมหาวิทยาลัยโซลที่ฆ่าตัวตาย จากการอ่านหนังสือแปลเกาหลีหลายเล่ม ทำให้รู้ว่าเกาหลีมีค่านิยมที่ลูกจะต้องเรียนให้เก่ง เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ให้ได้ จบมาก็ทำงานในบริษัทใหญ่ที่มั่นคง แล้วก็แต่งงานมีลูก เป็นสูตรสำเร็จที่พ่อแม่ทุกคนจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกประสบความสำเร็จตามสูตรนี้ พ่อแม่ที่ทำได้ก็จะได้รับการชื่นชมจากสังคมคนรอบข้าง
.
เด็กเกาหลีเรียนพิเศษกัน 4-5 ทุ่มทุกวัน บางคนต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึง 7 ปีกว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ได้ สำหรับมหาวิทยาลัยโซลเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเกาหลีที่ใคร ๆ ก็อยากเข้าให้ได้ เหตุใดทันตแพทย์ที่เพิ่งจบอนาคตสดใสน่าจะรออยู่ถึงตัดสินใจจบชีวิต.
.
เค้าเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ที่ยากจนมาก เมื่อลูกเข้ามหาวิทยาลัยนี้ได้จึงเป็นความหวังของพ่อแม่ที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ก็เป็นความกดดันของเค้า เค้าเรียนเก่งสามารถเรียนจนจบทันตแพทย์ได้แต่เค้าอยากเป็นนักดนตรี อ่านเรื่องนี้แล้ว เรากำลังเอาความคาดหวังของเราไปกดดันลูกหรือเปล่า
.
อีกเคสหนึ่งเป็นเคสที่แม่ทำให้ลูกเป็นฆาตกร เป็นเคสที่แม่กดดันให้ลูกเรียนให้เก่ง ลูกอยู่มัธยมปลาย ต้องสอบให้ได้ที่หนึ่งเท่านั้นถ้าไม่ได้ที่หนึ่งจะถูกตีด้วยไม้กอล์ฟ วันเกิดเหตุลูกสอบไม่ได้ที่หนึ่งกลับมาบ้านด้วยความหวาดกลัว แล้วก็ถูกแม่ตี เค้ากลัวมากไม่อยากตื่นมาโดนตีอีก คืนนั้นจึงฆ่าแม่ตัวเอง
.
เคสสุดท้ายที่อยากเล่าเป็นคุณพ่อที่ไม่สบายแต่ไม่ยอมบอกลูกเพราะกลัวลูกที่เรียนที่ต่างประเทศไม่สบายใจ และเสียชีวิตเพียงลำพัง ในหนังสือจะมีเคสที่คนแก่อยู่คนเดียวและเสียชีวิตโดยที่ไม่มีใครรู้ หรือคนแก่ที่ฆ่าตัวตายเพราะความเหงา ไม่มีลูกหลานมาดูแล อ่านเรื่องนี้แล้วสะท้อนในสองมุม มุมที่เป็นแม่ถ้าแก่แล้วเราก็ไม่อยากเป็นภาระให้ลูกเหมือนกัน ในมุมที่เป็นลูกถ้าพ่อแม่ยังอยู่ เราได้ดูแลท่านมากน้อยแค่ไหน ปล่อยให้ท่านเหงาหรือเปล่า
.
สำหรับต่ายหนังสือเล่มนี้มาบอกว่าชีวิตเราเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สิ่งที่แน่นอนคือสักวันทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไปอาจจะเร็วหรือช้า เราควรให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับคนที่เรารัก เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไร รวมทั้งข้าวของที่เราสะสมไว้ เมื่อตายไปก็ไม่สามารถนำอะไรไปด้วยได้เลย
Comments