เป็นคำถามที่มีเพื่อนถามมาค่ะ ลูกอยากเรียนดนตรีเพิ่มอีกเครื่องจะให้ลูกเรียนดีไหม ขอตอบจากประสบการณ์ของต่ายเองนะคะ
.
เครื่องแรกที่ต่ายเริ่มเรียน คือ piano ค่ะ เป็นเครื่องดนตรีที่ครอบคลุม range ของเสียงกว้างที่สุด ซึ่งนักเปียโนก็จะได้เล่นและฟังทั้งเสียงต่ำและสูงมาก ๆ ทำให้เราต้องอ่านโน้ตใน range ที่กว้างด้วยค่ะ หมายความว่าโดยปกติเราต้องอ่านโน้ตทั้งกุญแจซอลและกุญแจฟาพร้อมกันเพื่อเล่นทั้งสองมือ ทำให้เราอ่านโน้ตได้คล่องทั้งสองกุญแจ
.
ข้อดีของการเป็นนักเปียโน คือ hand coordination ของทั้งสองมือ รวมทั้งเท้าที่ใช้เหยียบ pedal ด้วยค่ะ ซึ่งพอทำงานที่เห็นได้ชัดเลยค่ะว่าเราพิมพ์คอมพ์ได้เร็วกว่าคนอื่น
.
แต่เปียโนเป็นหนึ่งในไม่กี่เครื่องที่คนเล่นไม่ต้องจูนเครื่อง (ตั้งเสียง) ก่อนเล่นค่ะ ปกติต้องให้ช่างจูนเปียโนมาจูนให้ค่ะ ทำให้นักเรียนเปียโนบางคนอาจจะแยกแยะเสียงที่เพี้ยนได้ไม่ดีเท่านักดนตรีที่เล่นเครื่องอื่น
.
อีกเครื่องที่ต่ายหัดตอนโตแล้ว คือ violin ซึ่งเป็นเครื่องที่ฝึก hand coordination เหมือนกันแต่มือซ้ายและขวาใน function ที่ต่างกัน
.
สิ่งที่ได้มาก ๆ จากการเรียน violin คือ ear training ค่ะ violin ต้องจูนทุกครั้งก่อนเล่น และ violin ยังเป็นเครื่องที่ fretless (ไม่เหมือน guitar ที่ยังมีช่อง ๆ guide ให้ว่าให้กดนิ้วตรงไหน) คือ เราเล่นพลาดไปเพียงมิลเดียวเสียงก็เพี้ยนแล้วค่ะ และเครื่องสายนี่ sensitive กับอากาศนะคะ แค่อุณหภูมิเปลี่ยนก็ต้องตั้งสายใหม่แล้วค่ะ
.
เป็นตัวอย่างแค่สองเครื่องที่ส่งเสริมกันเป็นอย่างยิ่งค่ะ ครูสอน violin หลายคนก็เล่น piano ได้ค่ะ อีกอย่าง คือ นัก violin ก็ต้องอาศัยนัก piano ค่ะ ปกติจะ solo violin ก็มักจะต้องมีนัก piano เล่นประกอบเป็น accompanist ค่ะ
.
อีก source นึงที่ช่วย confirm ว่า การเล่นดนตรีมากกว่า 1 เครื่องเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน คือ มีหลายโรงเรียนนานาชาติที่ให้ทุนดนตรีค่ะ เกือบทุกโรงเรียนจะ require เลยค่ะ ว่าคนที่รับทุนได้จะต้องเล่นดนตรีได้มากกว่า 1 เครื่อง หรืออย่างน้อยก็ต้องเรียนร้องเพลงและเล่นดนตรีได้ 1 เครื่องค่ะ
.
สำหรับต่ายเองการเล่นดนตรีหลายเครื่องช่วยให้เราเข้าใจดนตรีมากขึ้นค่ะ โดยเฉพาะถ้าเราได้มีโอกาสไปเล่นกับเครื่องอื่น แต่ข้อสำคัญเลย คือ จะเรียนกี่เครื่องก็ควรจัดสรรเวลาซ้อมให้ทุกเครื่องที่เรียนค่ะ
My friend asked me this question when her kids want to study the second instrument. Here are the answers from my own experience.
.
I started with a piano which covers the widest range of pitch. Pianist, when they play, they will listen to both very high and very low pitch. We need to read the note in wide range meaning we need to read both treble clef and bass clef fluently to play both hands.
.
Benefits of being a pianist is hand coordination, including feet for the pedals. When I work, it is explicitly that I can type faster than others.
.
However, the piano is one of not many instruments that the players do not need to tune the instrument by themselves. We need a professional piano tuner. Some piano student may not be able to identify incorrect pitch like other music players.
.
The other instrument, I recently study is the violin. This instrument helps me practice hand coordination in different functions.
.
What I got the most from the violin is ear training. You need to tune the violin every time before playing. And the violin is a fretless instrument. (Unlike guitar, there are frets to guide you where to put your fingers.) Meaning, for violin, if we put finger wrongly 1 mm, the pitch is different. String instruments is also sensitive, the temperature changed, we need to tune the instrument again.
.
Piano and violin are examples of two instruments which they can benefit each other. Many violin teachers can play the piano. The violinist will need a pianist to play accompaniment for them.
.
Another source to confirm that playing more than one instrument is a benefit, many international schools gave music scholarship. And most school will require a scholar to play more than one instrument or at least vocal and one instrument.
.
For me, playing many instruments help me understand music more. Especially if we have a chance to play with other instruments. However, the important point is we should help kids manage their time to practice all instruments.
Comments